Buacha Logo

Buacha.com

อัพเดททุกเรื่องราวสายบุญ สายมู บทความเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และความเชื่อในประเทศไทยแบบครบวงจร

วันพระคือวันอะไร? ความหมายและประวัติความเป็นมาที่คนไทยควรรู้

วันพระคือวันอะไร? ความหมายและประวัติความเป็นมาที่คนไทยควรรู้

สำหรับคนไทยพุทธแล้ว คำว่า “วันพระ” คงเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันดี หลายครั้งที่เราเห็นป้าย “วันนี้วันพระ” ตามหน้าร้านค้าหรือสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนใจให้เรารู้ว่าวันนี้คือวันสำคัญทางพุทธศาสนา ที่พุทธศาสนิกชนจะได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลและทำความดี แต่เคยสงสัยไหมว่า แท้จริงแล้ววันพระคืออะไร? มีความหมายและประวัติความเป็นมาอย่างไร ทำไมจึงเป็นวันที่คนไทยให้ความสำคัญ วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเรื่องราวของวันสำคัญนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นค่ะ

วันพระคืออะไร? กำหนดจากอะไร?

วันพระหรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า “วันธรรมสวนะ” หรือ “วันอุโบสถ” หมายถึง วันที่พุทธศาสนิกชนจะมารวมตัวกันเพื่อประกอบกิจกรรมทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการถือศีล ฟังธรรม หรือบำเพ็ญกุศลต่างๆ เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส

การกำหนด วันพระ จะยึดตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งเป็นระบบการนับวันเดือนปีโดยถือการโคจรของดวงจันทร์เป็นหลัก ทำให้ในแต่ละเดือนจะมีวันพระทั้งหมด 4 วัน ได้แก่

  • วันขึ้น 8 ค่ำ: เป็นช่วงที่ดวงจันทร์เริ่มโคจรไปครึ่งซีก
  • วันขึ้น 15 ค่ำ (วันเพ็ญ): เป็นวันที่ดวงจันทร์เต็มดวงสวยงามที่สุด หรือที่เรียกกันว่า “วันพระจันทร์เต็มดวง”
  • วันแรม 8 ค่ำ: เป็นช่วงที่ดวงจันทร์เริ่มมืดลงอีกครึ่งหนึ่ง
  • วันแรม 15 ค่ำ (หรือ 14 ค่ำ ในเดือนขาด): เป็นวันที่ดวงจันทร์มืดสนิท หรือที่เรียกกันว่า “วันพระจันทร์ดับ”

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “ข้างขึ้น ข้างแรม” มาบ้าง ซึ่งก็คือการบอกสถานะของดวงจันทร์นั่นเองค่ะ “ข้างขึ้น” คือช่วงที่ดวงจันทร์ค่อยๆ สว่างและเต็มดวงขึ้นเรื่อยๆ ส่วน “ข้างแรม” คือช่วงที่ดวงจันทร์ค่อยๆ มืดลงจนลับหายไป และก่อนถึงวันพระ 1 วัน เราจะเรียกกันว่า “วันโกน” ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่พระสงฆ์จะปลงผมในวันนี้

ย้อนรอยประวัติ: วันพระ มีความเป็นมาอย่างไร?

วันพระ
ภาพโดย Washarapol Jundang

ที่มาของวันพระในพระพุทธศาสนานั้นมีเรื่องราวน่าสนใจทีเดียวค่ะ เดิมที วันแบบนี้ไม่ได้มีเฉพาะในพุทธศาสนาเท่านั้น แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของนักบวชนอกศาสนาอื่นๆ ที่เรียกว่า “ปริพาชกอัญญเดียรถีย์” พวกเขามักจะมารวมตัวกันเพื่อแสดงธรรมและสนทนาแลกเปลี่ยนหลักคำสอนกันทุกวันขึ้น 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ

ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งแคว้นมคธ ทรงสังเกตเห็นว่านักบวชศาสนาอื่นมีวันประชุมสนทนาธรรมเป็นประจำ แต่ในพระพุทธศาสนายังไม่มี จึงเกิดความคิดขึ้นว่า หากพระสงฆ์ในพุทธศาสนามีวันประชุมเช่นเดียวกัน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่พระธรรมคำสอน และยังเป็นโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงธรรมะได้ง่ายขึ้น จึงได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลพระราชดำรินี้

พระพุทธองค์ทรงเห็นชอบด้วย และอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ประชุมกันในวันขึ้น 8 ค่ำ, 14 ค่ำ และ 15 ค่ำ เพื่อสนทนาธรรมและแสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชน ต่อมา การประชุมสงฆ์ได้พัฒนาเป็นการสวด “ปาฏิโมกข์” ซึ่งเป็นการทบทวนศีลและวินัยของพระสงฆ์ และมีการแสดงอาบัติ เพื่อให้หมู่สงฆ์มีความบริสุทธิ์และสามัคคีกัน ในพระไตรปิฎกเรียกวันนี้ว่า “วันอุโบสถ” ประเพณีการถือปฏิบัตินี้ได้สืบทอดต่อกันมา และมีหลักฐานว่าประเทศไทยมีการปฏิบัติตามประเพณีวันพระมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้วค่ะ

ความสำคัญและกิจกรรมที่ชาวพุทธพึงปฏิบัติใน วันพระ

วันพระ มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งต่อคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วไป สำหรับพระสงฆ์แล้ว วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทบทวนพระธรรมวินัยและรักษาความบริสุทธิ์ของหมู่คณะ สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในสังฆะ ส่วนพุทธศาสนิกชนอย่างเราๆ วันพระคือวันสำคัญที่เราควรใช้เป็นโอกาสในการหยุดพักจากกิจวัตรประจำวันอันวุ่นวาย เพื่อหันมาใส่ใจกับการทำความดี บำเพ็ญบุญ และพัฒนาจิตใจให้สงบ

กิจกรรมที่นิยมทำในวันพระมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความตั้งใจของแต่ละบุคคล แต่โดยรวมแล้ว มักจะเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการสร้างบุญและกุศลดังนี้ค่ะ

  • เข้าวัดทำบุญตักบาตร: การนำภัตตาหารไปถวายพระสงฆ์ที่วัด ถือเป็นการให้ทานที่สำคัญ ช่วยเสริมสร้างบุญบารมี
  • รักษาศีล: หลายคนเลือกที่จะรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ หรือบางท่านที่เคร่งครัดอาจจะสมาทานศีล 8 หรืออุโบสถศีล เพื่อฝึกฝนตนเองให้ห่างไกลจากกิเลส
  • ฟังธรรมเทศนา: การฟังพระธรรมคำสอนจากพระสงฆ์เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ช่วยให้เกิดปัญญา ความเข้าใจในหลักธรรม และสามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้
  • เจริญจิตภาวนาและสวดมนต์: การนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบ การสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น เป็นการระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย และช่วยให้จิตใจผ่องใส
  • ละเว้นการทำบาป: ในวันพระ ชาวพุทธจะถือเป็นวันสำคัญที่ควรงดเว้นจากการทำบาปทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรม เพราะเชื่อกันว่าการทำบาปในวันนี้จะได้รับผลกรรมที่หนักกว่าปกติ
วันพระ2
ภาพโดย Buy me a coffee

แม้ว่าในปัจจุบันวันพระจะไม่ได้เป็นวันหยุดราชการเหมือนในอดีต ทำให้พุทธศาสนิกชนหลายท่านอาจไม่สะดวกที่จะไปวัดเพื่อทำบุญ แต่เราก็ยังสามารถปฏิบัติธรรมและทำความดีได้ที่บ้าน เช่น การสวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือรักษาศีล ซึ่งล้วนเป็นการสร้างบุญกุศลและเป็นประโยชน์ต่อจิตใจของเราไม่แพ้กัน

สรุป

วันพระไม่ได้เป็นเพียงแค่การกำหนดวันที่ตามปฏิทินจันทรคติเท่านั้น แต่มีความหมายลึกซึ้งในฐานะที่เป็นหมุดหมายทางจิตวิญญาณ เป็นวันที่เตือนใจให้เราหันกลับมาทบทวนตนเอง ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ และสั่งสมบุญกุศล การได้เข้าใจและปฏิบัติตนในวันพระอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ชีวิตของเราพบเจอแต่ความสุข ความสงบ และความเจริญก้าวหน้าค่ะ

หากบทความนี้เป็นประโยชน์และคุณได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับวันพระ อย่าลืมกดแชร์บทความนี้ให้กับเพื่อนๆ หรือคนรัก เพื่อให้พวกเขามีโอกาสได้รับรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของวันดีๆ นี้ด้วยนะคะ ขอให้ทุกท่านพบเจอแต่ความสุข ความเจริญ และประสบความสำเร็จในทุกๆ สิ่งที่ปรารถนาค่ะ สาธุ!

แชร์บทความ
0 0 โหวต
ให้คะแนนบทความ
guest
0 ความเห็น
เก่าสุด
ใหม่สุด ถูกใจมากที่สุด
Inline Feedbacks
View all comments
0
แสดงความเห็นกับบทความนี้ได้นะx